เศรษฐกิจดิจิทัลไทยยังคงใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาด GMV แตะ 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568
เศรษฐกิจดิจิทัลไทยยังคงเติบโตได้ดี แม้จะมีอุปสรรคทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การบริโภคภายในประเทศที่ซบเซาและภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (e-Conomy SEA Report) ฉบับครบรอบ 10 ปี ที่จัดทำโดย Google, Temasek และ Bain & Company ระบุว่าเศรษฐกิจดิจิทัลไทยยังคงใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดการณ์ว่ามูลค่าสินค้ารวม (Gross Merchandise Value หรือ GMV) จะสูงถึง 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 ซึ่งโตขึ้น 16% จาก 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 โดยมีภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก
อีคอมเมิร์ซเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยจากความนิยมของวิดีโอคอมเมิร์ซ
อีคอมเมิร์ซยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย และมีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคฯ (โตขึ้น 22% จากปีที่ผ่านมา) โดยคาดว่า GMV จะแตะ 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 ซึ่งปัจจัยสำคัญของการเติบโตนี้คือวิดีโอคอมเมิร์ซที่กำลังเฟื่องฟู โดยพบว่ามีผู้ขายสินค้าผ่านวิดีโอมากถึง 850,000 ราย ซึ่งพุ่งสูงขึ้นถึง 175% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ไทยเป็นตลาดที่มีจำนวนผู้ขายสินค้าผ่านวิดีโอที่ใหญ่และเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคนี้ ปัจจุบัน ไทยเป็นตลาดวิดีโอคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคฯ ด้วยปริมาณธุรกรรมสูงถึง 1.3 พันล้านครั้ง โดยปัจจัยหนุนหลักของการเติบโตนี้คือกลุ่มสินค้าที่ได้รับการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคสูง เช่น สินค้าแฟชั่นและเครื่องประดับ ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 21% ของ GMV ของวิดีโอคอมเมิร์ซ การเปลี่ยนแปลงนี้กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังเปิดช่องทางใหม่ๆ ให้กับผู้ขาย แพลตฟอร์ม และแบรนด์ต่างๆ ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอีกด้วย
การท่องเที่ยวออนไลน์ยังคงเติบโตแม้ภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวช้า
การท่องเที่ยวออนไลน์คาดว่าจะโตขึ้น 6% และ GMV จะแตะ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวช้า แต่ไทยยังคงเป็นหนึ่งในตลาดการท่องเที่ยวออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การสนับสนุนด้านนโยบายจากภาครัฐเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูงและขยายกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายขึ้นนอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าชาวจีน ซึ่งรวมถึงการขยายโครงการยกเว้นวีซ่าให้ครอบคลุม 93 ประเทศโดยอนุญาตให้พำนักได้สูงสุด 60 วัน เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น อินเดียและตะวันออกกลาง ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตนี้เช่นกัน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเสริมสร้างความเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพระดับโลกโดยเน้นบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานระดับสากล และเดินหน้าเผยแพร่วัฒนธรรมไทยเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
ภาคธุรกิจหลักยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากอีคอมเมิร์ซและการท่องเที่ยวออนไลน์แล้ว ภาคธุรกิจหลักอื่นๆ ก็มีแนวโน้มการเติบโตในเชิงบวกด้วยเช่นกัน
บริการด้านการเงินดิจิทัล (Digital Financial Services หรือ DFS) ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงหนุนจากความมั่งคั่งทางดิจิทัล (Digital Wealth) ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเติบโต 29% และมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (Assets under management หรือ AUM) แตะ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่บริการสินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัล (Digital Lending) คาดว่าจะมียอดสินเชื่อคงค้าง (Loan Book Balance) สูงถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นอัตราการเติบโต 21% ด้านการชำระเงินดิจิทัล (Digital Payments) คาดว่าจะมูลค่าธุรกรรมรวม (Gross Transaction Value หรือ GTV) สูงถึง 1.63 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยโตขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สื่อออนไลน์ (วิดีโอออนดีมานด์ เพลงออนดีมานด์ เกม และโฆษณา) ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 8% โดยคาดว่ามูลค่าสินค้ารวมจะแตะ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ภาคธุรกิจนี้ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง โดยได้รับแรงหนุนจากโฆษณาที่มาจากการขยายเครื่อข่ายสื่อค้าปลีก การเจาะตลาดเชิงลึกของวิดีโอคอมเมิร์ซ และการทำแคมเปญโฆษณาที่หลากหลายมากขึ้น
การขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์ยังคงเป็นภาคส่วนสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย โดยโตขึ้น 15% จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีมูลค่าสินค้ารวมอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2566 หลังจากการแข่งขันที่ดุเดือดและการถอนตัวของผู้ให้บริการรายใหญ่ แพลตฟอร์มที่เหลือจึงมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความสามารถในการสร้างผลกำไรด้วยการสร้างโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้น
ปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโตด้วย AI
นอกเหนือจากการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลแล้ว ประเทศไทยยังดำเนินกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรระดับประเทศอย่างจริงจังเพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI โครงการริเริ่มของรัฐบาลที่ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อยกระดับทักษะของนักศึกษาและแรงงานสอดคล้องกับความต้องการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ AI ของคนไทย ซึ่งเห็นได้จากจำนวนผู้ลงทะเบียนเรียนหลักสูตร Generative AI ในไทยที่เพิ่มขึ้นถึง 3.3 เท่า และการที่ภาคเอกชนนำ AI มาใช้จริงในอัตราที่รวดเร็ว ตั้งแต่การใช้ AI วิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ในภาคสาธารณสุข ไปจนถึงการตรวจจับการฉ้อโกงในภาคการเงิน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของผู้ใช้ในระดับสูง โดย 76% ของผู้ใช้ชาวไทยโต้ตอบกับเครื่องมือ AI ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้จำนวนมาก (79%) กำลังเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI สำหรับแรงจูงใจหลักในการใช้ AI คือ ช่วยประหยัดเวลาในการค้นคว้าและเปรียบเทียบ (45%) เพิ่มความปลอดภัย (35%) และความพร้อมในการสนับสนุนลูกค้าทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง (33%)
เรายังคงมุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือและทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาครัฐ ภาคธุรกิจ และชุมชนของไทย เพื่อปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต และเพื่อให้มั่นใจว่าคนไทยทุกคนจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีและ AI อย่างเท่าถึงกัน
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมรวมถึงรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลประเทศไทยได้ที่นี่